เทศน์มหาชาติ
พระเวสสันดรชาดก ๑๓ กัณฑ์
กัณฑ์ที่ ๑ ทศพร
ว่าด้วยพรสิบประการที่พระอินทร์ทรงประทานแก่นางเทพธิดา ชื่อว่า
ผุสดี ผู้เป็นมเหสีซึ่งทูลขอไว้ในวันจะจุติจากสวรรค์ลงมาเกิดในโลกมนุษย์
กัณฑ์ที่ ๒ หิมพานต์
เวสสันดรและให้ทรงอภิเษกกับพระนางมัทรี เป็นคู่บารมีในการบริหารบ้านเมือง พระเวสสันดรทรงมีพระนิสัยน้อมไปในการบำเพ็ญทาน ทรงมุ่งจะบริจาค เป็นอารมณ์ เมื่อเกิดภาวะฝนแล้งในแคว้นกลิงคะประชาชนจึงมาขอช้างปัจจัยนาค พระองค์ก็ทรงประทานให้ อันเป็นเหตุให้ชาวเมืองสีพีไม่พอใจ ทูลขอให้พระเจ้าสญชัยเนรเทศไปสู่ ป่าหิมพานต์
กัณฑ์ที่ ๓ ทานกัณฑ์
ก่อนพระเวสสันดรจะเสด็จออกพระนครสีพีทรงบริจาค “สัตตสดกม
หาทาน” (ทาน ๗ สิ่งๆ ละ ๗๐๐) ทรงมีพระนางมัทรี พระกัณหา และพระชาลี รวม ๔ ชีวิตตามเสด็จไปประทับที่ป่าหิมพานต์
ระหว่างทางมียาจกมาทูลของพระราชทานรถและม้า พระองค์
ก็ทรงเมตตาประทานให้ ในที่สุดทั้งสองพระองค์ทรงอุ้มพระโอรส พระธิดา เสด็จพระดำเนินเข้าสู่ป่าหิมพานต์
กัณฑ์ที่ ๔ วนประเวสน์
พระเจ้าเจตราษฎร์ได้ทรงพรรณนาหนทางไปสู่ป่าหิมพานต์ว่าคดเคี้ยวเลี้ยวลด ประการใด โดยทรงให้พรานเจตบุตรเป็นผู้กำหนดจุดรักษาประตูป่า เพื่อระวังรักษามีให้ผู้ใดเข้าไปรบกวน
ครั้งนั้น พระอินทร์ทรงมีเทวบัญชาให้พระวิษณุกรรมเทพบุตรเนรมิตศาลาให้ ๒ หลัง พระเวสสันดร พระนางมัทรี พระกัณหา และพระชาลี ได้ทรงผนวชเป็นพระดาบส โดยมีอาศรมศาลา ๒ แห่งนี้เป็นที่ทรงอาศัย
กัณฑ์ที่ ๕ ชูชก
อมิตตดาเห็นว่าชูชกหลงใหลในความสาวของตน จึงออกอุบายให้เฒ่าชูชกไปขอพระกัณหาชาลีมาเป็นข้ารับใช้ ชูชกจึงออกเดินทางไปถึงวนสถานที่พรานเจตบุตรรักษาแล้วหลอกพรานว่าตนคือพระราชสาส์นของพระเจ้าสญชัยมาเชิญพระเวสสันดรเสด็จกลับพระนคร พรานเจตบุตรหลงเชื่อจึงเลี้ยงดูปูเสื่อเป็นอย่างดี
กัณฑ์ที่ ๖ จุลพน
กล่าวถึงเส้นทางในป่าโปร่งหรือป่าเล็กซึ่งเป็นทางเดินที่พราน
เจตบุตรชี้ให้ชูชกเดินไปหาพระอัจจุตฤๅษี เพื่อให้ช่วยชี้หนทางที่จะไปต่อ
ถึงวงกต
กัณฑ์ที่ ๗ มหาพน
พรรณนาถึงป่าใหญ่ที่ชูชกเดินมาจนถึงอาศรมพระอัจจุตฤๅษีแล้ว
หลอกพระฤๅษีว่าตนเป็นคนคุ้นเคยกับพระเวสสันดรมาก่อนพระอัจจุตฤๅษีมิสงสัยจึงให้ชูชกพักแรมด้วยหนึ่งคืน รุ่งเช้าก็ชี้ทางไปป่าหิมพานต์ไปสู่อาศรมสถานพระเวสสันดร
กัณฑ์ที่ ๘ กุมาร
พระกัณหาชาลีลงไปซ่อนตัวอยู่ในสระบัว
พระเวสสันดรรู้เข้าจึงเดินตามรอยเท้าไปเรียกสองกุมารขึ้นมาจาก
สระให้มาเป็นสำเภาทองพาพระองค์ไปสู่นิพพาน แล้วพระองค์ทรงยก
สองกุมารให้ชูชก ชูชกผูกแขนสองกุมา แล้วเฆี่ยนตีต่อหน้าพระเวสสันดรจนพระองค์เกิดบันดาลโทสะเกือบระงับดับไว้มิได้
กัณฑ์ที่ ๙ มัทรี
พระนางมัทรีออกตามหากัณหาชาลีตลอดคืนยันรุ่งจนรู้สึก
เหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างที่สุดจนสลบไป พระเวสสันดรจึงยกพระเศียรนางขึ้นวางบนตักแล้วเอาน้ำรดพระอุระ เมื่อพระนางฟื้นคืนมาจึงตรัสบอกความจริงและขอให้พระนางอนุโมทนาสาธุการในปุตตทานครั้งนี้ด้วย
กัณฑ์ที่ ๑๐ สักบรรพ
ท้าวสักกเทวราช เกรงว่าถ้ามีใครมาขอพระนางมัทรีพระเวสสันดรก็จะประทานให้อีก จึงจำแลงกายเป็นพราหมณ์มาขอไว้ก่อน
เมื่อพระเวสสันดรหลั่งน้ำให้แล้วพราหมณ์จึงขอฝากไว้ก่อนพระนาง
มัทรีก็อนุโมทนาจัดว่าเป็นทานบารมีอันยิ่งใหญ่เป็นเหตุให้เกิดปฐพีสั่นไหวไปทั่ว ท้าวสักกเทวราชจึงสำแดงกายให้ปรากฏและให้พระเวสสันดรขอพรได้ ๘ ประการ
กัณฑ์ที่ ๑๑ มหาราช
เทพเจ้าแปลงร่างเป็น
พระเวสสันดรและพระนางมัทรี มาคอยดูแลพระกุมารทั้งสอง
กัณฑ์ที่ ๑๒ ฉกษัตริย์
พระเจ้าสญชัย ให้พระชาลีทรงช้างปัจจัยนาค นำกองทัพมา
รับพระเวสสันดร เมื่อหกกษัตริย์ได้พบกันก็บังเกิดความรู้สึกทั้งดีพระทัยและเศร้าโศกอย่างรุนแรง ทรงกรรแสงสุดจะประมาณจนสลบไป
บรรดาเสวกามาตย์ก็สลบลงหมด ท้าวสหัสนัยเทวนราชบันดาลฝนโบกขรพรรษตกลงมาประพรมชุบชีพให้ชื่นบานฟื้นคืนลมปฤดีทุกคน
กัณฑ์ที่ ๑๓ นครกัณฑ์
พระเวสสันดรได้รับคำทูลเชิญให้ลาผนวช (สึก) เพื่อรับราช
สมบัติและให้ทำพิธีราชาภิเษกในบริเวณพระอาศรม เมื่อพระเวสสันดรกลับมาครองพระนครก็มีห่าฝนสัตตรัตนมาศตกไปทั่วพระนคร ให้เป็นทานแก่ชนทั้งหลาย พระเวสสันดรครองนครสีพีจนพระชนมายุ ๑๒๐ พรรษา ก็สวรรคตไปบังเกิดในดุสิตเทวโลก
เวสสันดรชาดก
ผู้มีความโอบอ้อมอารี บำเพ็ญทานบารมียิ่งใหญ่ในฐานะพระโพธิสัตว์ ได้ทรงยกจริยาพระเวสสันดรขึ้นสอนพระประยุรญาติ ทรงประกาศถึงน้ำพระทัย
อันยิ่งใหญ่ของพระเวสสันดร แม้เมื่อประสบทุกข์ก็ไม่ทรงย่นย่อท้อถอย ทรงเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นสุขได้อย่างอัศจรรย์เป็นการเสวยพระชาติที่ยิ่งใหญ่เรียกโดยทั่วไปว่า “มหาชาติ”